เมื่อเดินชมความงามของพระนอนกันจนเป็นที่พอใจแล้ว
เราก็มุ่งสู่วัดถัดไปทันที เดินทางไปพร้อมๆ กับความชุ่มฉ่ำจากสายฝน
ที่เทลงมาค่อนข้างหนาเม็ด แต่เรื่องฝนไม่เป็นปัญหา
เพราะไกด์เตรียมร่มไว้ให้เราหลายคันเชียว และอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า
หน้าฝนเราก็เที่ยวได้ เพราะยิ่งมีฝนโปรย ฟ้าเปลี่ยนสี ต้นไม้เขียวชอุ่ม ก็ช่วยให้สถานที่ยิ่งดูสวยแปลกตามากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นเราขับรถไปต่อ “วัดไชยวัฒนาราม” เรายกให้เป็นวัดไฮไลท์ประจำทริปนี้
เพราะองค์ประกอบของวัดลงตัวไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร ทำเลที่ตั้ง
ตลอดจนสถาปัตยกรรมที่รายล้อมรอบๆ วัด บอกเลยค่ะว่าพวกเราตื่นตาตื่นใจมากที่สุด
วัดไชยวัฒนารามบางครั้งเรียกว่า
“วัดไชยยาราม” และ “วัดไชยชนะทาราม”
เป็นพระอารามหลวงในสมัยอยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์ประธาน
เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของวัด ภายในมีระเบียงคด
(เราเพิ่งรู้จักระเบียงคดจากวัดนี้เช่นกัน) ระเบียงคด ลักษณะเป็นแนวกำแพงก่ออิฐ
ล้อมรอบพระปรางค์ประธาน และสร้างหลังคาคลุมทางเดินเชื่อมต่อระหว่างเมรุ
หลังคาของระเบียงคดจะสอดเข้าใต้มุขของเมรุ และจะมีห้องเจาะช่องหน้าต่างหลอกโดยทำเสาเป็นลูกกรงเลียนแบบช่องหน้าต่างคล้ายๆ
กับสถาปัตยกรรมเขมร ตามแนวระเบียงคดประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นหันพระพักตร์เข้าสู่องค์พระปรางค์ประธานอยู่โดยรอบ
นอกจากระเบียงคดที่เพิ่งรู้จักไปแล้ว
ยังมีเมรุทิศ – เมรุราย อีกด้วย (เพิ่งรู้จักจากที่นี่เช่นเดียวกัน) ลักษณะเป็นอาคารทรงปราสาทยอดปรางค์
มีแนวระเบียงคดเชื่อมต่อระหว่างเมรุแต่ละองค์โดยรอบ ภายในคูหาของเมรุ ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับนั่งปางมารวิชัย
และมีร่องรอยจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน ซึ่งจากการบอกเล่าของไกด์พบว่ามีที่วัดไชยวัฒนารามเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่วัดไชยวัฒนารามแห่งนี้
นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และเทศ ค่อนข้างหนาตา ขนาดเป็นวันธรรมดานะคะ
(เราไปตรงกับวันศุกร์พอดี)
หลังจากนั้นจุดหมายถัดไปคือ
“วัดพระศรีสรรเพชญ์” ในวัดมีโบราณสถานหลงเหลือให้ชมเป็นพระเจดีย์ที่ยังคงลักษณะค่อนข้างสมบูรณ์
ในวัดสงบร่มเย็น เห็นกระรอกวิ่งไปวิ่งมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
วัดนี้ตามประวัติเล่าว่า เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำวัด แต่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบพิธีสำคัญต่าง
ๆ ของบ้านเมือง และเก็บอัฐิของพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันเหลือเพียงซากอิฐปูนและเจดีย์สามองค์ที่ตั้งตระหง่าน
ซึ่งเป็นจุดที่ ดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมอยู่เสมอ
วัดมงคลบพิตร เป็นวัดโบราณสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นักท่องเที่ยวจึงนิยมเข้ามา นมัสการหลวงพ่อมงคลบพิตร ภายในประดิษฐานพระมงคลบพิตร
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย
บรรยากาศในวัดมีนักท่องเที่ยวไปสักการะขอพรจำนวนมาก
สอบถามมาจากผู้คนที่ไปนมัสการพระมงคลบพิตรได้ความว่า เคยมาไหว้ขอพรไว้
หลังจากกลับไปพรที่ขอนั้นสำเร็จ จึงยิ่งเพิ่มแรงศรัทธามากขึ้น พร้อมกับพาญาติพี่น้อง
เพื่อนพ้อง แวะมาขอพรกันอยู่เนืองๆ และเมื่อกระแสนี้ได้แพร่สะพัดไป
จึงมีผู้คนหลั่งไหลมาขอพรพระจำนวนมาก
จากนั้นพวกเราก็กุลีกุจอรีบขึ้นรถเพราะเกรงว่าฝนจะตกหนักลงมามากกว่านี้
และขับรถไปเรื่อยๆ จนถึง “วัดใหญ่ไชยมงคล” วัดที่มีพระเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่เป็นดังสัญลักษณ์
ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติครั้งมีชัยในศึกยุทธหัตถี
ประวัติเล่าว่า วัดนี้เดิมพระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง สำหรับเป็นสำนักของพระสงฆ์
ภายในวัดยังมี
วิหารพระพุทธไสยาสน์ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าด้านในก็จะพบวิหารพระพุทธไสยาสน์อยู่ทางซ้ายมือภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ซึ่งสร้างขึ้นในแผ่นดินของ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อใช้เป็นที่สักการบูชา และปฏิบัติพระกรรมฐาน ภายในวัดยังมีสถานที่ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
และยังมีบ่อเต่าให้นักท่องเที่ยวไปชื่นชมความน่ารักของเต่านับพันตัวได้อีกด้วย
เราไปจบทริปนี้กันที่
"ป้อมเพชร" ป้อมปราการกรุงศรีอยุธยา เป็นป้อมรูปปรีก่อสร้างด้วยอิฐสลับศิลาแดง
ยื่นออกจากแนวกำแพงพระนคร มีช่องคูหาก่อเป็นรูปโค้ง เพื่อไปชื่นชมทัศนียภาพยามเย็นของแม่น้ำป่าสัก
และแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลมาบรรจบกัน เราไปถึงกันก็เกือบๆ
หกโมงเย็นเห็นชาวอยุธยามานั่งคุยกัน บ้างก็นำอาหารมาป้อนลูก บ้างก็มาออกกำลังกาย
เป็นภาพที่เห็นแล้วมีความสุขจริงๆ
ป้อมเพชร
เป็นอันว่าเสร็จสรรพการเดินทางชมวัดวาอารามหลวง
แม้ว่าทริปนี้จะมีฝนตกมาเป็นระยะๆ แต่อย่างที่บอก ถึงฝนจะตกก็ไม่ใช่อุปสรรค์ของเรา
คงเพราะด้วยความตั้งใจ และความสวยงามของโบราณสถานต่างๆ ทำให้เราเที่ยวอยุธยาทริปหน้าฝนนี้อย่างเพลิดเพลิน
จนไม่รู้เลยว่า เวลาก็ล่วงเลยเกือบใกล้จะค่ำแล้ว แต่ไกด์สาวของเรายังบอกว่า
ยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่งรอให้เราไปเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็น วัดท่าการ้อง
วัดพนัญเชิญวั ดพุทไธสวรรค์ วัดมเหยงค์ วัดราชบูรณะ เพื่อนๆ คนไหนที่มีเวลาว่างสัก
2-3 วัน ลองแวะเวียนไปเที่ยวอยุธยาได้ ไม่ว่าจะไปหน้าไหน
ความสวยของโบราณสถานต่างๆ ก็คงไม่เหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่นัก
เพื่อนๆ ที่มีโครงการไปอยุธยา หากมีเวลามากกว่าเรา
ก็จะได้ชื่นชมโบราณสถานได้ครบ และหากเรามีโอกาสเราจะกลับไปเยือนอีกครั้งหนึ่งแน่นอนค่ะ.