วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เที่ยววัด ชมเมือง Espisode 2

ต่อจาก Espisode 1 นะคะ



เมื่อเดินชมความงามของพระนอนกันจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็มุ่งสู่วัดถัดไปทันที เดินทางไปพร้อมๆ กับความชุ่มฉ่ำจากสายฝน ที่เทลงมาค่อนข้างหนาเม็ด แต่เรื่องฝนไม่เป็นปัญหา เพราะไกด์เตรียมร่มไว้ให้เราหลายคันเชียว และอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า หน้าฝนเราก็เที่ยวได้ เพราะยิ่งมีฝนโปรย ฟ้าเปลี่ยนสี ต้นไม้เขียวชอุ่ม ก็ช่วยให้สถานที่ยิ่งดูสวยแปลกตามากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเราขับรถไปต่อ “วัดไชยวัฒนาราม” เรายกให้เป็นวัดไฮไลท์ประจำทริปนี้ เพราะองค์ประกอบของวัดลงตัวไปซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร ทำเลที่ตั้ง ตลอดจนสถาปัตยกรรมที่รายล้อมรอบๆ วัด  บอกเลยค่ะว่าพวกเราตื่นตาตื่นใจมากที่สุด
 
 





 

วัดไชยวัฒนารามบางครั้งเรียกว่า วัดไชยยารามและ วัดไชยชนะทาราม เป็นพระอารามหลวงในสมัยอยุธยา ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์ประธาน เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของวัด ภายในมีระเบียงคด (เราเพิ่งรู้จักระเบียงคดจากวัดนี้เช่นกัน) ระเบียงคด ลักษณะเป็นแนวกำแพงก่ออิฐ ล้อมรอบพระปรางค์ประธาน และสร้างหลังคาคลุมทางเดินเชื่อมต่อระหว่างเมรุ หลังคาของระเบียงคดจะสอดเข้าใต้มุขของเมรุ และจะมีห้องเจาะช่องหน้าต่างหลอกโดยทำเสาเป็นลูกกรงเลียนแบบช่องหน้าต่างคล้ายๆ กับสถาปัตยกรรมเขมร ตามแนวระเบียงคดประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นหันพระพักตร์เข้าสู่องค์พระปรางค์ประธานอยู่โดยรอบ  
                นอกจากระเบียงคดที่เพิ่งรู้จักไปแล้ว ยังมีเมรุทิศ – เมรุราย อีกด้วย (เพิ่งรู้จักจากที่นี่เช่นเดียวกัน) ลักษณะเป็นอาคารทรงปราสาทยอดปรางค์ มีแนวระเบียงคดเชื่อมต่อระหว่างเมรุแต่ละองค์โดยรอบ ภายในคูหาของเมรุ ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับนั่งปางมารวิชัย และมีร่องรอยจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน ซึ่งจากการบอกเล่าของไกด์พบว่ามีที่วัดไชยวัฒนารามเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่วัดไชยวัฒนารามแห่งนี้ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และเทศ ค่อนข้างหนาตา ขนาดเป็นวันธรรมดานะคะ (เราไปตรงกับวันศุกร์พอดี)
 
หลังจากนั้นจุดหมายถัดไปคือ “วัดพระศรีสรรเพชญ์” ในวัดมีโบราณสถานหลงเหลือให้ชมเป็นพระเจดีย์ที่ยังคงลักษณะค่อนข้างสมบูรณ์ ในวัดสงบร่มเย็น เห็นกระรอกวิ่งไปวิ่งมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี วัดนี้ตามประวัติเล่าว่า เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำวัด แต่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง และเก็บอัฐิของพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันเหลือเพียงซากอิฐปูนและเจดีย์สามองค์ที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งเป็นจุดที่ ดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมอยู่เสมอ 



วัดพระศรีสรรเพชญ์
 
               ออกมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์พวกเราเดินทางต่อไปที่ “วัดมงคลบพิตร” ก่อนเข้าวัดเราเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นั่งช้างกางร่มชมเมืองเก่า สวนกันไปสวนกันมา เพราะตอนนั้นก็ยังมีฝนโปรยปรายลงมาบ้างพอให้ชุ่มเย็น ในใจพวกเราก็อยากลองนั่งช้างบ้างเหมือนกัน แต่อีกใจก็สงสารช้างแล้วอีกอย่างตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้วด้วย กลัวไม่คุ้มค่านั่งช้าง 555 อ้าวนี่สงสารช้าง หรืองกกันแน่ เริ่มไม่แน่ใจ.....

วัดมงคลบพิตร เป็นวัดโบราณสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นักท่องเที่ยวจึงนิยมเข้ามา นมัสการหลวงพ่อมงคลบพิตร ภายในประดิษฐานพระมงคลบพิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย
                บรรยากาศในวัดมีนักท่องเที่ยวไปสักการะขอพรจำนวนมาก สอบถามมาจากผู้คนที่ไปนมัสการพระมงคลบพิตรได้ความว่า เคยมาไหว้ขอพรไว้ หลังจากกลับไปพรที่ขอนั้นสำเร็จ จึงยิ่งเพิ่มแรงศรัทธามากขึ้น พร้อมกับพาญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง แวะมาขอพรกันอยู่เนืองๆ และเมื่อกระแสนี้ได้แพร่สะพัดไป จึงมีผู้คนหลั่งไหลมาขอพรพระจำนวนมาก

 



 พระมงคลบพิตร
 
               จากนั้นพวกเราก็กุลีกุจอรีบขึ้นรถเพราะเกรงว่าฝนจะตกหนักลงมามากกว่านี้ และขับรถไปเรื่อยๆ จนถึง “วัดใหญ่ไชยมงคล” วัดที่มีพระเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่เป็นดังสัญลักษณ์ ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติครั้งมีชัยในศึกยุทธหัตถี ประวัติเล่าว่า วัดนี้เดิมพระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง สำหรับเป็นสำนักของพระสงฆ์
 





 
ภายในวัดยังมี วิหารพระพุทธไสยาสน์ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าด้านในก็จะพบวิหารพระพุทธไสยาสน์อยู่ทางซ้ายมือภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ซึ่งสร้างขึ้นในแผ่นดินของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อใช้เป็นที่สักการบูชา และปฏิบัติพระกรรมฐาน ภายในวัดยังมีสถานที่ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และยังมีบ่อเต่าให้นักท่องเที่ยวไปชื่นชมความน่ารักของเต่านับพันตัวได้อีกด้วย








เราไปจบทริปนี้กันที่ "ป้อมเพชร" ป้อมปราการกรุงศรีอยุธยา เป็นป้อมรูปปรีก่อสร้างด้วยอิฐสลับศิลาแดง ยื่นออกจากแนวกำแพงพระนคร มีช่องคูหาก่อเป็นรูปโค้ง เพื่อไปชื่นชมทัศนียภาพยามเย็นของแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลมาบรรจบกัน เราไปถึงกันก็เกือบๆ หกโมงเย็นเห็นชาวอยุธยามานั่งคุยกัน บ้างก็นำอาหารมาป้อนลูก บ้างก็มาออกกำลังกาย เป็นภาพที่เห็นแล้วมีความสุขจริงๆ
 
 
 
ป้อมเพชร



 


                เป็นอันว่าเสร็จสรรพการเดินทางชมวัดวาอารามหลวง แม้ว่าทริปนี้จะมีฝนตกมาเป็นระยะๆ แต่อย่างที่บอก ถึงฝนจะตกก็ไม่ใช่อุปสรรค์ของเรา คงเพราะด้วยความตั้งใจ และความสวยงามของโบราณสถานต่างๆ ทำให้เราเที่ยวอยุธยาทริปหน้าฝนนี้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่รู้เลยว่า เวลาก็ล่วงเลยเกือบใกล้จะค่ำแล้ว แต่ไกด์สาวของเรายังบอกว่า ยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่งรอให้เราไปเยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็น วัดท่าการ้อง วัดพนัญเชิญวั ดพุทไธสวรรค์ วัดมเหยงค์ วัดราชบูรณะ เพื่อนๆ คนไหนที่มีเวลาว่างสัก 2-3 วัน ลองแวะเวียนไปเที่ยวอยุธยาได้ ไม่ว่าจะไปหน้าไหน ความสวยของโบราณสถานต่างๆ ก็คงไม่เหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่นัก
                เพื่อนๆ ที่มีโครงการไปอยุธยา หากมีเวลามากกว่าเรา ก็จะได้ชื่นชมโบราณสถานได้ครบ และหากเรามีโอกาสเราจะกลับไปเยือนอีกครั้งหนึ่งแน่นอนค่ะ.

เที่ยววัด ชมเมือง อยุธยา Episode1

            สวัสดีค่ะเพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากที่โพสต์บอกเล่้าเรื่องราวความประัทับใจ เกี่ยวกับการนั่งรถไฟไปอยุธยา
                ต่อจากทริปนั่งรถไฟ ไปอยุธยาหน้าฝน อย่างที่บอกไปในบล็อกแรกว่า เรามาถึงอยุธยาราวตี 4 แต่พอดีเรามีเพื่อนอยู่ที่อยุธยา จึงไม่ค่อยกังวลเรื่องเวลาเท่าไหร่ พอรถไฟจอดเทียบชานชลาปุ๊บ เพื่อนเราก็มารับปั๊บ แต่มาถึงตี 4 ยังไม่มีอะไรให้เที่ยว สิ่งที่ทำได้คือ ไปนอนพักเอาแรงก่อน เช้ามาค่อยว่ากันใหม่
                 เรามาอยุธยาครั้งนี้ มาแบบไม่ได้เตรียมตัวมากนัก เพราะพอตัดสินใจได้ก็กระโดดขึ้นรถไฟมาเลย ดังนั้นเรื่องการวางแผน เรื่องเส้นทาง จึงไม่ได้ตระเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า หน้าที่หนักจึงตกเป็นของไกด์เจ้าถิ่น เพื่อนสาวคนสวย เธอจึงจัดโปรแกรมทัวร์แบบ 1 DAY TRIP  (เนื่องจากเรามีเวลากันแค่วันเดียวเท่านั้นขับรถถึงวัดไหนก็แวะวัดนั้นเลย)
                สตาร์ทกันที่วัดแรก “วัดหน้าพระเมรุราชิการาม” พระอารามหลวง หรือวัดหน้าพระเมรุ เจ้าถิ่นบอกว่า มาอยุธยาต้องมาสักการะวัดนี้ให้ได้ วัดแห่งนี้ มีประวัติคร่าวๆ คือ เป็นสถานที่ที่ไทยใช้เจรจาสงบศึก และมีการสร้างพลับพลาอัญเชิญพระพุทธ – พระธรรม – พระสงฆ์ ประดิษฐานเป็นพระธาน
 



                เดินเข้าไปภายในวัดมองเห็นความงามของ “พระคันธารราฐ” หรือพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท พุทธลักษณะ เป็นพระพุทธรูปศิลาหินปูนสีเขียวขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นศิลปะแบบทวารวดี ปางประทานปฐมเทศนา นอกจากนี้ภายในวัดยังมี พระวิหารเขียน หรือเรียกชื่อว่า พระวิหารสรรเพชญ์” เนื่องจากมีลายเขียนภายในพระวิหาร เขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องชาดกและภาพวิถีชีวิตผู้คน เช่น การเดินทาง การค้า เป็นต้น หรือมีชื่อเรียกกันอีกว่า พระวิหารน้อย อีกด้วย
 
“พระคันธารราฐ”

 
 
          จากนั้นเราก็พากันขึ้นรถเพื่อไปยังวัดถัดไป นั่งไปไม่กี่อึดใจก็ถึง “วัดธรรมิกราช” วัดนี้เท่าที่เรามอง มีลักษณะพิเศษอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเศียรสำริดพระขนาดใหญ่บริเวณทางเข้า เดินเข้าไปอ่านเห็นว่าชื่อ “พระธรรมิกราช”
 
 
“พระธรรมิกราช”
 
                จุดน่าสนใจอีกอย่างของวัดนี้คือ เจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อม เป็นเจดีย์ทรงกลมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ คือมีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อมรอบไว้อย่างงามสง่าและหาชมได้ยาก ถัดออกไปเป็น “วิหารหลวง” โครงสร้างของวิหารงดงามมาก เป็นการก่อสร้างแบบโบราณ ใช้อิฐก่อขึ้นไปแต่มีความมั่นคงแข็งแรงมาก เคยเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ แต่ถูกพม่าเผาทำลาย เหลือเพียงพระเศียร ที่เราเห็นบริเวณทางเข้าวัด ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา

 
เจดีย์ทรงกลม
 
                นอกจากนี้ในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์องค์นี้มีชื่อว่า พระพุทธรรมิกราชมหาลาภอุดม เป็นพระนอนทำเป็นรูปจักรปูนปั้นนูนออกมาจากฝ่าพระบาท  ชาวบ้านเล่ากันว่า น้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก จึงมักมีผู้คนมาอธิษฐาน ขอนำไปใช้ตามความปรารถนาเป็นจำนวนมาก
 


 
“วิหารหลวง”
เพียงแค่ 2 วัด ก็สร้างความรู้อิ่มเอม และประหลาดใจให้เราอย่างบอกไม่ถูก  อยากจะรีบๆ ไปวัดถัดๆ ไป แต่ไกด์บอกว่าเที่ยงกว่าแล้ว เราต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน  โดยไกด์คนสวยของเราแนะนำว่า อยุธยามีอะไรอร่อยๆ ให้เลือกกินเยอะมาก แต่อยากแนะนำร้านนี้เป็นพิเศษ (คงเห็นเราชอบกินก๋วยเตี๋ยว) เธอพาเราไปตามถนนป่ามะพร้าว เจอซอยอู่ทอง 40 ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยนิดเดียว ร้านจะอยู่ขวามือ ชื่อร้าน “ก๋วยเตี๋ยวสูตรโบราณป้าพร” ร้านนี้เปิดให้บริการมานาน ชาวอยุธยารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สูตรเด็ดที่ใครไปใครมาก็ต้องสั่งมาลิ้มลองก็คือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณรสเด็ด เดินเข้าร้านไปป้าพร และลูกๆ หลานๆ จะคอยต้อนรับเป็นอย่างดี พอมาถึงร้านใครใคร่สั่งอะไรสั่ง วันนี้พวกเราเลยสั่งกันมาคนละอย่าง เริ่มจากบะหมี่ไข่ต้มยำโบราณใส่เต้าหู้ยัดไส้ เมนูนี้ใส่มาทั้งไข่ และเต้าหู้ยัดไส้ครบเครื่อง เมนูถัดไปเป็นบะหมี่แห้งลูกชิ้นโบราณแคระ แค่อ่านเจอชื่อก็สร้างความแปลกใจแล้ว พอมาเสิร์ฟก็สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี เพราะมาในแบบฉบับบะหมี่โบราณน้ำคลุกคลิก มีเครื่องครบครัน ต่อมาด้วยบะหมี่ไข่ต้มยำเกี้ยวกรอบโบราณ และวุ้นเส้นต้มยำหมูแดง แนะนำว่า ให้ชิมรสชาติก่อนปรุง เพราะทั้งน้ำซุป และการปรุงอร่อยมาเสร็จสรรพแล้ว แต่ถ้าใครจะเติมพริก เติมน้ำปลา น้ำตาลเพิ่มก็ไม่ว่ากัน และนอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว ทางร้านยังมีขนมไทยๆ มากมายหลายอย่าง ที่สำคัญคือทางร้านทำเองค่ะ เช่นขนม ข้าวตอกตั้งกวนกับน้ำกะทิอบควันเทียนหอมๆ แบบโบราณ เมนูนี้เราสั่งมาชิมด้วย บอกได้เลยว่าอร่อยนุ่มลิ้นมากค่ะ ได้ทั้งกลิ่นหอมของข้าวตอก กลิ่นกะทิอบควันเทียน โอ๊ยความรู้สึกนี้คือฟินมาก นอกจากนี้ยังมีมะพร้าวแก้ว ครองแครงกรอบสูตรโบราณตัวใหญ่ๆ ขนมกรอบเค็ม และอื่นๆอีกมากมาย  ร้านนี้เราแนะนำให้เพื่อนๆ ไปตามรอยนะคะ ต้องแวะไปลองชิมให้ได้ค่ะ 

 
 
 

 





 
เมื่อท้องอิ่ม เราก็ไม่รอช้า รีบขึ้นรถเพื่อไปเยี่ยมชมวัดต่อไปทันที  ภาคบ่ายเราเริ่มกันที่ “วัดโลกยสุธาราม หรือวัดพระนอน” ในบริเวณใกล้ๆ กันจะมีที่ให้เที่ยวชมหลายที่ มีร้านขายของฝากอยู่ด้วย ที่วัดนี้ มี พระนอนขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ ลักษณะเป็นพระนอนทรงเครื่อง มีความโดดเด่นและงดงาม ตรงที่พระเศียรซึ่งทำเป็นดอกบัวซ้อนกันรองรับไว้แทนพระเขนย พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทมีความยาวเท่ากัน หากใครที่ได้มาสักการะถือว่าจะได้เมตตามหานิยม
 
 
 
วัดพระนอน



โปรดติดตามตอนต่อไป..... เดี๋ยวเรากลับมาส่งต่อความสุขใน Espisode2 นะคะ

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เปิดประสบการณ์ใหม่ นั่งรถไฟไปอยุธยา

 เปิดประสบการณ์ใหม่ไปกับรถไฟไทย  
 
     ก่อนอื่น ต้องขอแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ว่าเป็นน้องใหม่ของการสร้างบล็อค แต่พอดีมีเรื่องราวมากมายที่อยากแบ่งบันให้ผู้ที่ืชื่นชอบในการท่องเที่ยว และหาของอร่อยๆ รับประทานกัน .... ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
 
       เรามาเริ่มต้นแบ่งบันประสบการณ์กันเลยดีกว่าค่ะ
 
        ปลายๆ ฤดูฝนแบบนี้ หลายๆ คนอาจจะยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวไหนดี เพราะเดี๋ยวฝนก็ตก แถมหลายๆ คนอาจจะเจอเหตุการณ์ฝนตกไม่เป็นเวลา่ร่ำ เวลา เอาแน่เอานอนไม่ได้
    
         แต่อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปนะคะเพื่อนๆ พอดีเจ้าของบล็อคเพิ่งมีโอกาสได้ไปเปิดประัสบการณ์การใช้บริการรถไฟไทยขบวนรถนอน ซึ่งต้องบอกเลยว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับตัวเอง เพราะทีแรกก็ชั่งใจว่า จะใช้เวลาในการเดินทางนาน และอาจจะไม่ค่อยปลอดภัย สำหรับผู้หญิงที่ต้องเดินทางกันสองคน แต่ปรากฎว่าคิดผิด!!!! เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสมา คือ การบริการที่ดี เราได้ชื่นชมทัศนียภาพสองข้างทาง อีกทั้งพอถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาบริการปูเตียงนอนให้ โอ๊ย!!!! สบายได้อีก .....
 
       ที่สำคัญคือ .... เรามีเพื่อนเดินทางกันจนเต็มขบวน ทั้งเพื่อนชาวต่างชาติ และชาวไทย ใช้บริการรถไฟกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง .... เราจึงหมดกังวลในเรื่องของความปลอดภัย เพราะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยมาก แม้จะเป็นตู้นอน ที่ต้องนอนลำพังก็ตาม
 
       หากเพื่อนๆ อยากลองนั่งรถไฟ ก็มีรถไฟให้ใช้บริการหลายขบวน หลายประเภท ตั้งแต่ รถธรรมดา รถเร็ว รถด่วน รถด่วนพิเศษ ราคาก็จะแตกต่างกันไปตามประเภทที่เลือกใช้บริการ โดยสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเวปไซด์รถไฟได้ตามลิงค์นี้  www.railway.co.th แต่วันนี้เราเลือกใช้บริการรถเร็ว เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ตู้นอนพัดลม เหตุผลที่เลือกตู้นอนพัดลม เพราะเราสามารถเปิดหน้าต่างชื่นชมธรรมชาติได้ และอากาศช่วงการเดินทางค่อนข้างเย็น จึงค่อนข้างสบายในการเดินทาง อีกทั้งยังอยากเห็นธรรมชาติช่วงเย็นด้วย
 
 
 
ตั๋วรถไฟ ขบวนที่เราใช้บริการ หน้าตาเป็นแบบนี้
 
 
        รถไฟออกจากต้นสถานีคือ จังหวัดเชียงใหม่ เวลา 15.30 และจะถึงจุดหมายปลายทางเวลา 04.00 น. พอรถไฟออกจากสถานีความตื่นเต้นก็เริ่มบังเกิด เพราะสองข้างทาง ช่างเ้ป็นทัศนียภาพที่สวยงาม มีทั้งทุ่งนาเขียวขจี มีหุ่นไลกากลางนา มีบ้านเรือนทรงแปลกตา อาจจะเพราะห่างจากตัวงจังหวัดเชียงใหม่ มาพอสมควร จึงเห็นความเป็นชนบทที่ยังคงหลงเหลืออยู่้บ้าง ผ่านสถานีแม่ออนก็เจอกับสะพานขาวอันเลื่องชื่อ ช่วงที่ผ่าน ยังเห็นนักท่องเที่ยว มารอถ่ายภาพกันอยู่หลายกลุ่ม บขวนรถไฟแล่นมาได้อีกนิด ก็จะเห็นว่า ตัวขบวนรถไฟ แล่นอยู่บนทิวเขา ทำให้มองเห็นรถยนต์ส่วนบุคคลวิ่งอยู่ไกลๆ ที่สำคัญที่สุดคือ การได้ลอดถ้ำอุึโมงค์ขุนตาล อุโมงค์เป็นอุโมงค์ทางรถไฟลอดผ่านที่ยาวที่สุดในประเทศไทย  
 
 






 
ทัศนียภาพสองข้างทาง
 
 
        ก่อนเดินทางเราสืบค้นประวัติของอุโมงค์ขุนตาลมาฝากเพื่อนๆ ด้วย ในสมัยก่อนการคมนาคมติดต่อระหว่างเชียงใหม่ กับ กรุงเทพฯ ต้องอาศัยการล่องแพตามลำแม่ปิง ซึ่งแสียเวลาประมาณเดือนเศษ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชชกาลที่ ๖ ทรงมีพระบรมราชโองการ
ให้สร้างทางรถไฟให้ถึงเชียงใหม่ เพื่อสดวกในการติดต่อ ฉะนั้นกรมรถไฟหลวงจึงได้ทำการสำรวจและวางรางรถไฟจากกรุงเทพฯ เรื่อยมา จนถึงเชิงดอยขุนตาล และไม่สามารถที่จะสร้างทางรถไฟต่อไปได้อีก เพราะเปนดอยสูงจึงเห็นมีทางเดียวเท่านั้นคือเจาะอุโมงค์เข้าไปในดอยขุนตาล ในการเจาะอุโมงค์ครั้งนี้ มีนายช่างเยอรมันชื่อ ไอเซน โฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมการเจาะ ต้องใช้คนงานหลายร้อยคน ปรากฎว่ากว่าจะเสร็จเรียบร้อยมีคนงานต้องเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุและไข้ป่าเป็นจำนวนหลายสิบคน กรรมวิธีในการขุดเจาะอุโมงค์นั้น เริ่มด้วยการเจาะรูเล็กๆ โดยใช้สว่าน หรือใช้แรงคนตอกสกัด เมื่อมีรูลึกเข้าไป จึงเอาดินระเบิดไดนาไมต์ ฝังเข้าไปในรูนั้น เพื่อระเบิดให้เป็นอุโมงค์ใหญ่ ถ้าหินก้อนใหญ่มากไม่สะดวในการระเบิดให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ก็ใช้วิธีสุมไฟให้ก้อนหินร้อนจัดแล้วราดน้ำลงไป หินนั้นก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ การขนดิน และหินออกจากอุโมงค์ก็ใช้คนงานขนออกมาการขุดเจาะเริ่มจากปลายอุโมงค์ทั้ง 2 ข้าง เข้ามาบรรจบกันตรงกลาง ใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปี อุโมงค์จึงทะลุถึงกันได้ และใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อผูกเหล็ก เทคอนกรีต ทำผนัง และหลังคาเพื่อความแข็งแรง และป้องกันน้ำรั่วซึมเมื่ออุโมงค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังวางรางรถไฟจากลำปางไปยังปากอุโมงค์ไม่ได้เพราะระหว่างทางต้องผ่านเหวลึกถึงสามแห่ง ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้จึงต้องใช้วิธีทำสะพานทอดข้ามระยะทาง 8 ก.ม. การสร้างสะพานข้างเหวไม่ใช่เรื่องง่ายจึงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าที่รถไฟจะไปถึงเชียงใหม่ได้
         ได้อ่านประวัติของอุโมงค์ขุนตาลมาก่อนบ้างแล้ว พอไำด้ผ่านจริงๆ และนึกถึงเรื่องราวที่อ่านประกอบกันไป ช่างเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ที่สุด เราเห็นเพื่อนชาวต่างชาติตื่นเต้น และอุทานกันใหญ่ เพราะใช้เวลาอยู่ในอุโมงค์ค่อนข้างนาน
 
 


 
        โฉมหน้าเตียงนอนของเรา (แอบถ่ายภาพนายแบบ)
      
        หลังจา่กผ่านสถานีลำปางไปได้นิดหน่อย ก็เริ่มมองไม่เห็นทัศนียภาพแล้ว เพราะความมืดเริ่มมาเยือน เราจึงทำได้แค่เพียงเปิดไฟหัวเตียง และอ่านหนังสือก่อนนอนเท่านั้น ....หลังจากนั้น ก่อนจะถึงสถานีจุดหมายปลายทาง ราวๆ 30 นาที จะมีเจ้าหน้าที่มาปลุกเราให้เตรียมตัวลงจากขบวนรถไฟ ..... และคอยส่งเราจนเราเดินไปในสถานีเรียบร้อย รถไฟจึงเคลื่อนขบวนออกไป.... เป็นอันว่า ถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ สนุกสนาน และประทับใจ จบการเดินทางไปขาไป.... 
 
         เพื่อนๆ สามารถติดตามอ่านเรื่องราวต่อไป เป็นการท่องเที่ยว และตระเวนรับประทานของอร่อยในจังหวัดอยุธยาได้ครั้งหน้านะคะ .....