สวัสดีค่ะเพื่อนๆ กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากที่โพสต์บอกเล่้าเรื่องราวความประัทับใจ เกี่ยวกับการนั่งรถไฟไปอยุธยา
ต่อจากทริปนั่งรถไฟ
ไปอยุธยาหน้าฝน อย่างที่บอกไปในบล็อกแรกว่า เรามาถึงอยุธยาราวตี 4 แต่พอดีเรามีเพื่อนอยู่ที่อยุธยา
จึงไม่ค่อยกังวลเรื่องเวลาเท่าไหร่ พอรถไฟจอดเทียบชานชลาปุ๊บ เพื่อนเราก็มารับปั๊บ
แต่มาถึงตี 4 ยังไม่มีอะไรให้เที่ยว สิ่งที่ทำได้คือ
ไปนอนพักเอาแรงก่อน เช้ามาค่อยว่ากันใหม่
เรามาอยุธยาครั้งนี้ มาแบบไม่ได้เตรียมตัวมากนัก
เพราะพอตัดสินใจได้ก็กระโดดขึ้นรถไฟมาเลย ดังนั้นเรื่องการวางแผน เรื่องเส้นทาง
จึงไม่ได้ตระเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า หน้าที่หนักจึงตกเป็นของไกด์เจ้าถิ่น เพื่อนสาวคนสวย
เธอจึงจัดโปรแกรมทัวร์แบบ 1
DAY TRIP (เนื่องจากเรามีเวลากันแค่วันเดียวเท่านั้นขับรถถึงวัดไหนก็แวะวัดนั้นเลย)
สตาร์ทกันที่วัดแรก “วัดหน้าพระเมรุราชิการาม”
พระอารามหลวง หรือวัดหน้าพระเมรุ เจ้าถิ่นบอกว่า
มาอยุธยาต้องมาสักการะวัดนี้ให้ได้ วัดแห่งนี้ มีประวัติคร่าวๆ คือ เป็นสถานที่ที่ไทยใช้เจรจาสงบศึก
และมีการสร้างพลับพลาอัญเชิญพระพุทธ – พระธรรม – พระสงฆ์ ประดิษฐานเป็นพระธาน
เดินเข้าไปภายในวัดมองเห็นความงามของ
“พระคันธารราฐ” หรือพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท พุทธลักษณะ
เป็นพระพุทธรูปศิลาหินปูนสีเขียวขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นศิลปะแบบทวารวดี
ปางประทานปฐมเทศนา นอกจากนี้ภายในวัดยังมี “พระวิหารเขียน”
หรือเรียกชื่อว่า ““ พระวิหารสรรเพชญ์”
เนื่องจากมีลายเขียนภายในพระวิหาร เขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องชาดกและภาพวิถีชีวิตผู้คน
เช่น การเดินทาง การค้า เป็นต้น หรือมีชื่อเรียกกันอีกว่า พระวิหารน้อย”
อีกด้วย
“พระคันธารราฐ”
จากนั้นเราก็พากันขึ้นรถเพื่อไปยังวัดถัดไป
นั่งไปไม่กี่อึดใจก็ถึง “วัดธรรมิกราช” วัดนี้เท่าที่เรามอง
มีลักษณะพิเศษอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเศียรสำริดพระขนาดใหญ่บริเวณทางเข้า
เดินเข้าไปอ่านเห็นว่าชื่อ “พระธรรมิกราช”
“พระธรรมิกราช”
จุดน่าสนใจอีกอย่างของวัดนี้คือ
เจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อม เป็นเจดีย์ทรงกลมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
คือมีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อมรอบไว้อย่างงามสง่าและหาชมได้ยาก ถัดออกไปเป็น “วิหารหลวง”
โครงสร้างของวิหารงดงามมาก เป็นการก่อสร้างแบบโบราณ ใช้อิฐก่อขึ้นไปแต่มีความมั่นคงแข็งแรงมาก
เคยเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ แต่ถูกพม่าเผาทำลาย
เหลือเพียงพระเศียร ที่เราเห็นบริเวณทางเข้าวัด
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
เจดีย์ทรงกลม
นอกจากนี้ในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์องค์นี้มีชื่อว่า “พระพุทธรรมิกราชมหาลาภอุดม”
เป็นพระนอนทำเป็นรูปจักรปูนปั้นนูนออกมาจากฝ่าพระบาท ชาวบ้านเล่ากันว่า น้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก
จึงมักมีผู้คนมาอธิษฐาน ขอนำไปใช้ตามความปรารถนาเป็นจำนวนมาก
“วิหารหลวง”
เพียงแค่ 2 วัด
ก็สร้างความรู้อิ่มเอม และประหลาดใจให้เราอย่างบอกไม่ถูก อยากจะรีบๆ ไปวัดถัดๆ ไป
แต่ไกด์บอกว่าเที่ยงกว่าแล้ว เราต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน โดยไกด์คนสวยของเราแนะนำว่า อยุธยามีอะไรอร่อยๆ
ให้เลือกกินเยอะมาก แต่อยากแนะนำร้านนี้เป็นพิเศษ (คงเห็นเราชอบกินก๋วยเตี๋ยว)
เธอพาเราไปตามถนนป่ามะพร้าว เจอซอยอู่ทอง 40 ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยนิดเดียว
ร้านจะอยู่ขวามือ ชื่อร้าน “ก๋วยเตี๋ยวสูตรโบราณป้าพร”
ร้านนี้เปิดให้บริการมานาน ชาวอยุธยารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สูตรเด็ดที่ใครไปใครมาก็ต้องสั่งมาลิ้มลองก็คือ
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณรสเด็ด เดินเข้าร้านไปป้าพร และลูกๆ หลานๆ
จะคอยต้อนรับเป็นอย่างดี พอมาถึงร้านใครใคร่สั่งอะไรสั่ง
วันนี้พวกเราเลยสั่งกันมาคนละอย่าง เริ่มจากบะหมี่ไข่ต้มยำโบราณใส่เต้าหู้ยัดไส้ เมนูนี้ใส่มาทั้งไข่
และเต้าหู้ยัดไส้ครบเครื่อง เมนูถัดไปเป็นบะหมี่แห้งลูกชิ้นโบราณแคระ แค่อ่านเจอชื่อก็สร้างความแปลกใจแล้ว
พอมาเสิร์ฟก็สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี
เพราะมาในแบบฉบับบะหมี่โบราณน้ำคลุกคลิก มีเครื่องครบครัน ต่อมาด้วยบะหมี่ไข่ต้มยำเกี้ยวกรอบโบราณ
และวุ้นเส้นต้มยำหมูแดง แนะนำว่า ให้ชิมรสชาติก่อนปรุง เพราะทั้งน้ำซุป และการปรุงอร่อยมาเสร็จสรรพแล้ว
แต่ถ้าใครจะเติมพริก เติมน้ำปลา น้ำตาลเพิ่มก็ไม่ว่ากัน และนอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว
ทางร้านยังมีขนมไทยๆ มากมายหลายอย่าง ที่สำคัญคือทางร้านทำเองค่ะ เช่นขนม
ข้าวตอกตั้งกวนกับน้ำกะทิอบควันเทียนหอมๆ แบบโบราณ เมนูนี้เราสั่งมาชิมด้วย
บอกได้เลยว่าอร่อยนุ่มลิ้นมากค่ะ ได้ทั้งกลิ่นหอมของข้าวตอก กลิ่นกะทิอบควันเทียน
โอ๊ยความรู้สึกนี้คือฟินมาก นอกจากนี้ยังมีมะพร้าวแก้ว ครองแครงกรอบสูตรโบราณตัวใหญ่ๆ
ขนมกรอบเค็ม และอื่นๆอีกมากมาย ร้านนี้เราแนะนำให้เพื่อนๆ ไปตามรอยนะคะ
ต้องแวะไปลองชิมให้ได้ค่ะ
เมื่อท้องอิ่ม
เราก็ไม่รอช้า รีบขึ้นรถเพื่อไปเยี่ยมชมวัดต่อไปทันที ภาคบ่ายเราเริ่มกันที่ “วัดโลกยสุธาราม
หรือวัดพระนอน” ในบริเวณใกล้ๆ กันจะมีที่ให้เที่ยวชมหลายที่
มีร้านขายของฝากอยู่ด้วย ที่วัดนี้ มี พระนอนขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่
ลักษณะเป็นพระนอนทรงเครื่อง มีความโดดเด่นและงดงาม ตรงที่พระเศียรซึ่งทำเป็นดอกบัวซ้อนกันรองรับไว้แทนพระเขนย
พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทมีความยาวเท่ากัน หากใครที่ได้มาสักการะถือว่าจะได้เมตตามหานิยม
วัดพระนอน
โปรดติดตามตอนต่อไป..... เดี๋ยวเรากลับมาส่งต่อความสุขใน Espisode2 นะคะ
สวัสดีค่ะ รบกวนขออนุญาตใช้รูปภาพของเจ้าของบล็อคไปใช้ในงานสื่อสิ่งพิมพ์ของวิชาในมหาวิทยาลัยได้หรือเปล่าคะ
ตอบลบ