วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แบกเป้ สะพายกล้อง ส่องเวียดนาม ตอนที่ 3

เทียวฮอยอันให้หนำใจ

07.30 น.หลังจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ เราเดินออกมาประมาณ 100 เมตร มาที่บริษัทรับจองตั๋ว และจัดทัวร์ฮอยอัน เราจองตั๋วรถกลับเว้ตอนบ่ายสอง ดังนั้นตอนเช้าเราจึงจองทริปไปเที่ยว หมี่เซิน (MY SON) เมืองมรดกโลก เป็นทริปครึ่งวัน ในราคาคนละ 5 ดอลล่า (150 บาท) และตั๋วกลับเว้ คนละ 5 ดอลล่า (150 บาท) แพงกว่าขามา 1 ดอลล่า เวลา 08.30 น. รถชัตเตอร์บัสก็มารับเราไปปราสาทหมี่เซิน








 

 
 
ถึงพิพิธภัณฑ์แล้ว แต่ยังไม่จบนะคะ ยังชมไม่ได้ต้องเสียค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เสียก่อน คนละ 100,000 ด่ง (143 บาท) (ในใจก็คิดว่าทำไมเสียหลายต่อจัง หรือราคา 5 ดอลล่า เป็นค่ารถ เอ๊ะ หรืออะไรยังไง แต่ก็ช่างเถอะ ไหนๆ เราก็มาถึงนี่แล้ว ) จากนั้นไกด์ท้องถิ่นบอกเราว่า เป็นสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือมาจากอาณาจักรจามปา สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมของฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน ในอดีตปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบูชาพระศิวะ นอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีรูปปั้น วัด และถูกห้อมล้อมไปด้วยป่าดงดิบ ในสมัยก่อนมีสิ่งก่อสร้างโบราณกว่า 70 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนามโบราณสถานฮินดูนี้ถูกระเบิดตกใส่ไปหลายแห่ง จนปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 22 หลังเท่านั้น และที่สำคัญได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ที่นี่มีอาคารให้บริการของฝากและน้ำดื่มด้วย ใครใคร่ซื้ออะไรซื้อ เราสองคนซื้อกันแต่น้ำอัดลมหมดเงินไป 31,500 ด่ง (65 บาท)
 
 

ซากโบราณที่หลงเหลือให้ชม











 
 
 

จากที่เราเห็นก็จะเป็นซากอาคารก่อสร้างหักพัก แต่ยังหลงเหลือกลิ่นอายของอารยธรรมของคนสมัยนั้น มีร่องรอยของระเบิด แต่ก็แปลก ที่ยังคงความงดงามอยู่ท่ามกลางป่าลึก ซึ่งหากใครไปฮอยอัน แนะนำว่าต้องไปเยี่ยมชมสักครั้ง เดินชมกันอยู่นาน ชัตเตอร์บัสก็พาเราไปส่งที่โรงแรมเพื่อเอาสัมภาระ และเดินไปขึ้นรถบัสต่อเพื่อกลับเว้
 
รถบัสที่จะพาเรากลับเว้ ค่อนข้างตรงเวลา แต่ขากลับเที่ยวนี้ไม่ค่อยประทับใจ เพราะสภาพรถภายนอกดูดีมาก แต่ข้างในโอ้ว ...แอร์อุ่น ผู้บ่าวที่นั่งด้านหลังเราก็สุดแสนจะไฮเปอร์ เดี๋ยวก็ปิดม่าน เดี๋ยวก็เปิดม่าน เราเลยไม่ได้นอนพักเลย
 
พอมาถึงเว้ เราก็จับแท็กซี่ ในราคา 45,000 ด่ง (64 บาท) มุ่งกลับไปที่โรงแรม PHU AN ซึ่งเรายึดเป็นสถานที่ทอดกายพักใจของเราสองสำหรับ 2 คืน ณ เมืองเว้ แห่งนี้ โยนกระเป๋าไว้ในห้องเสร็จก็ลงมาซื้อทัวร์แบบ One – day – Trip (City tour) ไว้ อยากลองใช้บริการทัวร์ของเค้าดู (ป่าวหรอก เราเริ่มขี้เกียจเดิน) ตกลงค่าทัวร์แบบ One – day – Trip อยู่ที่ 180,000 ด่ง (260 บาท) รวมอาหารกลางวันแบบอินเตอร์เนชั่นแนล  เสร็จเรียบร้อยก็ออกท่องราตรีเมืองเว้ เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านอาหารหลายร้าน แต่พวกเราก็ไปสะดุดตรงที่ร้านหาบเร่อีกแล้ว แต่ร้านนี้คงไม่ใช่หาบเร่ธรรมดา เพราะคนเยอะมาก เยอะจนต้องลองไปนั่งดูบ้าง ชี้นิ้วสั่งอีกแล้วค่ะ แต่ที่นี่ดีหน่อย มีรูปให้ดู (สงสัยนักท่องเที่ยวมาเยอะ)  เราสั่งเฝอทะเลมาค่ะ สั่งมาเหมือนกันเลย ได้ปลาหมึกตัวใหญ่มา 1 ตัว ได้กุ้งมา 2 ตัว ได้เป็นหมูปรุงรสมาอีก 1 ก้อน ใส่เครื่องมาเยอะขนาดนี้ แต่ขายราคาชามละ 20,000 ด่ง (30 บาท)
มื้อเย็นของเรา น่ากินที่สุด

 
 
 
 
เราเดินกลับโรงแรมด้วยอาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อน ไม่คิดจะไปเดินที่ไหนอีก เพราะอิ่มมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
 
 
คืนที่ 4 วันที่ 4 จากฮอยอัน กลับมาเว้  รวมค่าใช้จ่ายของวันนี้นะคะ
ค่าไปเที่ยว หมี่เซิน (MY SON) คนละ                 150          บาท                        (5 ดอลล่า)
ค่ารถฮอยอัน        เว้                                           150          บาท                        (5 ดอลล่า)
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์             หมี่เซิน                    143          บาท                         (100,000 ด่ง)
น้ำอัดลม                                                              65            บาท                         (31,500 ด่ง)            
ค่าแท็กซี่                                                              64            บาท                         (45,000 ด่ง)
One – day – Trip เมืองเว้                                    260          บาท                          (180,000 ด่ง)
อาหารเย็น                                                           30            บาท                           (20,000 ด่ง)
รวมค่าใช้จ่าย เป็นเงินคนละ               862         บาท

แบกเป้ สะพายกล้อง ส่องเวียดนาม ตอนจบ

และแล้วก็ถึงเวลากลับบ้าน ไปทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อ

                เช้าของวันเดินทางกลับ เราลงมาจัดการคืนห้อง จ่ายค่าเสียหายไป  20 ดอลล่า (คนละ 10 ดอลล่า/300บาท) และรถตู้มารับเราไปขึ้นรถบัสตอน 07.00 น. พอไปถึงเราแอบเสียความรู้สึกเพราะรถที่ทางโรงแรมขายให้เราเป็นรถแบบนั่ง ทั้งๆ ที่พวกเราย้ำถามแล้วว่า เป็นรถนอนใช่ไหม เค้าก็ตอบว่าใช่ อ้าว พวกเราถูกหลอกเอาตอนที่จะกลับบ้านซะงั้น เพราะเราเห็นรถนอนจอดอยู่ข้างๆ กัน จึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่า คันนี้ไปสะหวันนะเขตใช่ไหม เค้าตอบว่าใช่ เฮ้อ !!! กรรมแท้ๆ .... จากนั้นเค้าก็แนะนำให้เราไปเปลี่ยนตั๋ว ซึ่งคนที่นั่นก็ใจดีนะคะ ให้เราเพิ่มเงินกันคนละ 2ดอลล่า (60 บาท) เพื่อขึ้นรถนอน ที่โชคดีที่สุดคือ รถยังว่างด้วยหลังจากได้ตั๋วเสร็จสรรพ ในราคาที่รวมแล้วคือ 600 บาท แพงกว่าขามาไป 120 บาท   ถือซะว่าซื้อประสบการณ์ละกัน พอถึงเวลา 09.00 น.รถก็ออกเดินทาง เราก็ทำเหมือนตอนขามาเวียดนามคือ ถึงทางออกด่านเวียดนามขาเขา ลงไปตรวจพาสปอร์ต และสอดเงินไว้ 40,000 ด่ง (57 บาท) จากนั้นก็ทำพิธีเดินออกประเทศอีกครั้ง เดินไปที่ด่านลาวบ่าว ด่านนี้รับเงินไทยแล้วนะคะ สอดเงินไปกับพาสปอร์ตอีก 40 บาท จากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และหาซื้อน้ำ ซื้อขนมติดตัวด้วยก็ดีนะคะ เพราะต้องเดินทางอีกไกล เราแวะไปซื้อน้ำซื้อขนมหมดไป 80 บาท
 
(หลายๆ คนเคยเขียนบอกไว้ว่า ไปเวียดนามให้ระวังโดนหลอก เราก็ไปพิสูจน์มา ไม่โดนหลอก มาเจ็บใจวัีนกลับ ดันโดนหลอกวันนี้ซะได้ แต่ก็หยวนๆ ค่ะ เพราะภาพรวมถือว่าได้ใจเราไปเต็มๆ )

                ขับมาได้เกือบ 3 ชั่วโมง รถก็จอดให้รับประทานอาหาร แต่เป็นคนละที่กับขาไปนะคะ ที่นี่ต้องรีบสั่ง เพราะว่ามีคนทำอาหารแค่ 2 คน ถ้าไปเยอะให้สั่งเหมือนกันเข้าไว้ จะได้กินเร็ว เพื่อมีเวลาไปเข้าห้องน้ำอีกที ที่นี่หมดค่าข้าว  ไป 80 บาทค่ะ เป็นข้าวผัดกระเพรา เรามีน้ำมาเองจึงไม่เสียค่าน้ำ เมื่ออิ่มกันทุกคนแล้ว รถก็ขับพาเราไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อนอะไร ตอน เกือบๆ ทุ่มครึ่ง จึงพาเรามาถึงสถานีขนส่งสะหวันนะเขต จัดแจงซื้อตั๋วรถ สะหวันนะเขตมุกดาหารอีกคนละ 55 บาท  พอมาถึงด่านเราจึงต้องเสียผ่านด่านออกจากลาว และเข้าประเทศไทย พร้อมกับค่าล่วงเวลาเจ้าหน้าที่ไปคนละ 120 บาท คืนนั้นเรามาถึงมุกดาหารดึกมากแล้ว ไม่มีรถกลับเชียงใหม่แล้ว โชคดีที่มีญาติอยู่ที่มุก จึงไปนอนบ้านญาติ  1 คืน และเช้ามาก็มาซื้อตั๋วเพื่อกลับเชียงใหม่ในราคา 740 บาทค่ะ

สรุปค่าใช้จ่าย คืนที่ 6 วันที่ 6  เว้ – สะหวันนะเขต – มุกดาหาร – เชียงใหม่ 

ค่าห้อง PHU AN 2 คืน คนละ              300          บาท        (20 ดอลล่า)  
ค่าส่วนต่างค่ารถสะหวัน                       60            บาท         (2ดอลล่า)
ค่าด่านทางออกด่านเวียดนาม               57            บาท        (40,000 ด่ง)
ค่าด่านลาวบ่าว                                       40            บาท
ค่าขนม                                                   80            บาท
ค่าข้าว                                                     80            บาท       
ค่ารถสะหวันนะเขตมุกดาหาร             55            บาท
ค่าผ่านด่าน+ค่าล่วงเวลา                        120          บาท
                ตั๋วรถกลับเชียงใหม่                              740          บาท

รวมค่าใช้จ่าย เป็นเงินคนละ                  1532        บาท

 
                เป็นอันว่าจบทริป เชียงใหม่ – มุกดาหาร – สะหวันนะเขต – เว้ – ฮอยอัน – เว้ – สะหวันนะเขต – มุกดาหาร และเชียงใหม่ ด้วยระยะเวลา 6 วัน 6 คืน กับเงิน 5,800 บาท ที่ได้กลับมาคือ การเปิดโลกกว้าง สัมผัสวัฒนธรรมของเพื่อนบ้าน ชมวิถีความเป็นของ และประสบการณ์ดีๆ ที่เราต้องค้นหาด้วยตัวเราเองค่ะ เพื่อนๆ ที่ตั้งใจจะออกไปหาประสบการณ์ต่างประเทศ แต่ยังไม่กล้าเดินทางไปที่ไกลๆ ก็ลองไปใกล้ๆ ก่อนก็ได้นะคะ อย่างเวียดนาม ลาว มาเลเซีย ทุกที่ล้วนมีความประทับใจแฝงอยู่ค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทางนะคะ.
 
























 

แบกเป้ิ สะพายกล้อง ส่องเวียดนาม ตอนที่ 4

ต่อจากภาคที่แล้ว

วันนี้วันเที่ยวชมเมืองอีกวันจ๊ะ

                เช้าวันนี้เตรียมตัวเที่ยวเมืองอารยธรรมเว้ รถชัตเตอร์บัสมารับเรา 08.30 น. ซึ่งในโปรแกรมที่เค้าให้เรามา มีหลายที่มาก เค้าเริ่มพาเราเที่ยวที่ พระราชวังเมืองเว้ ที่นี่เสียค่าเข้าชมคนละ 125,000 ด่ง (179 บาท) สถาปัตยกรรมแปลกตา แต่ก็สวยงามสมราคาค่าเข้าชม






 









 
               จากนั้นไกด์หนุ่มก็พาเราไปเยี่ยมชมบ้านจีนโบราณ เป็นบ้านที่ยังมีความสมบูรณ์เกือบ 100% ผู้ดูแลบ้านก็บรรยายไป เราก็เดินถ่ายรูปไป ที่บ้านจีนเค้าจะขายชาด้วย ใครสนใจก็เลือกชม เลือกซื้อได้



 
 
 
 



 
                เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเสียเวลา จึงไม่รอช้า พาไปต่อที่วัดเทียนมู่ เจดีย์เทียนมู่ ลักษณะของวัดจะคล้ายๆ กับวัดจีน (ในความรู้สึกเรา) ข้างในมีเจดีย์มีทรง 8 เหลี่ยม รูปเก๋งจีนซ้อนลดหลั่นกัน 7 ชั้น มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์เฝ้าคุ้มครอง ภายในเจดีย์มีพระสังกัจจายน์ปิดทองอยู่ด้วย
 





 
 





                    จากนั้นก็ไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งจำชื่อร้านไม่ได้ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ อย่างที่บอกข้างต้นว่าเค้าจัดเลี้ยงเป็น อเมริกันสไตล์ เราก็ดีใจมาก แต่พอไปถึงร้าน โอโห้ พาเหรดผักทั้งนั้น ไม่เห็นมีหมู มีไก่เลย เหลือบมองไปที่ข้าวผัด เฮ้อ มีวิญญาณหมูติดมานิดนึง สรุปไม่ประทับใจอาหารกลางวัน (เลยไม่ถ่ายรูปอาหาร เพราะเสียใจ)
               จากนั้นเราก็เที่ยวกันต่อที่ สุสานไคดิงห์ (มากันตั้งไกล ทำไม๊ ทำไมมาเที่ยวสุสานกันก็ไม่รู้) สุสานไคดิงห์ ไกด์บอกว่าเป็นสุสานของพระเจ้าไคดิงห์ เป็นสุสานที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกเข้ากับสถาปัตยกรรมตะวันตก แต่เรามองยังไงก็เหมือนสถาปัตยกรรมจีนยังไงก็ไม่รู้ ส่วน ทางเดินขึ้นสุสานตกแต่งเป็นบันไดมังกร เรียงรายด้วยรูปปั้นหินของช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือน ส่วนด้านบนสุดเป็นพระราชวังเทียนดิงห์  
 



 
                เสร็จสรรพก็ต่อกันที่สุสานจักรพรรดิมิงห์หมาง ที่นี่เป็นสุสานจักรพรรดิที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่มากที่สุด กว้างขวางร่มรื่น ภายในสุสานยังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย เรียกว่าเดินกันเมื่อยถึงขึ้นไม่ฟังไกด์พูดกันเลยทีเดียว หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเยี่ยมชมสุสานของจักรพรรดิต่างๆ แล้ว เราก็เหนื่อยและขี้เกียจเดิน พอไปถึงสุสานอีก 2 – 3 แห่ง เราจึงไม่เข้าไป นั่งรอข้างๆ รถบ้าง ร้านสะดวกซื้อบ้าง ไกด์ก็คะย้ันคะยอให้เข้าไป เราก็ส่ายหน้าอย่างเดียวเลย ถามว่าเสียดายไหม ก็เสียดายนะ แต่อารมณ์ร้อน และเหนื่อยเยอะกว่า เลือกที่จะไปซื้อกาแฟ น้ำ และขนมนั่งดื่มรอ ระหว่างรอหมดค่าน้ำไป 100,000 ด่ง (143 บาท)
                จุดหมายถัดไปหลังจากเยี่ยมชมสุสานจนครบแล้ว ไกด์ก็พาเราไปดูหมู่บ้านทำธูป ที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งทำธูปอันดับต้นๆ ของเวียดนามก็ว่าได้
 
 
 




 

 
หลังจากนั้นก็ปิดโปรแกรมด้วยการล่องเรือท่องแม่น้ำหอม หรือแม่น้ำซงเฮือง แม่น้ำสายนี้มีความแปลกเฉพาะตัวคือจะมีกลิ่นหอมอ่อน เพราะมีต้นกำเนิดของลำน้ำมากจากป่าที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอม เมื่อดอกไม้ใบไม้ได้ร่วงร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำและลอยมากับสายน้ำจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่น้ำหอมนั่นเอง แม่น้ำมีลักษณะกว้างแต่ไม่ลึกและใสสะอาด  เราเห็นมีเรือนักท่องเที่ยวแล่นผ่านเรือเราไปมาอยู่หลายสิบลำ ซึ่งแสดงว่าการนั่งเรือชมทิวทัศน์แม่น้ำหอมได้รับความนิยมอย่างมาก ผ่านไปราว 40 นาที ลอดใต้สะพานตรังเตรียนมา เรือก็มาจอดส่งนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่ง เป็นอันวันเสร็จสิ้นทริปของวันนี้
ไกด์ประจำทริป














 
 
                จากนั้นเราต้องหาทางกลับโรงแรมเอง ในบรรยากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าว แต่ไม่เป็นไร เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง เพราะเรามาสำรวจเส้นทางไว้บ้างแล้ว เมื่อมาถึงโรงแรมนอนเอาแรงได้พักใหญ่ๆ ก็ลงมาซื้อตั๋วรถกลับสะหวันนะเขตกับทางโรงแรม มาเจอกับน้องคนไทย 2 คนที่เราเจอขามาพอดี น้องเค้าก็กำลังจะกลับเหมือนกัน จึงซื้อตั๋วพร้อมกันเลย ซึ่งโรงแรมก็กุลีกุจอหาตารางรถมาให้ พร้อมกับติดต่อให้ในราคา คนละ 18 ดอลล่า ซึ่งถือว่าแพงเอาการ แต่น้องบอกเราว่า ลองไปซื้อกับทัวร์ข้างนอกมาแล้ว ก็ราคาประมาณนี้ บางที่แพงกว่าด้วย เราจึงตกลงได้ในราคา 18 ดอลล่า (540 บาท แพงกว่าขามา 60 บาท)
 
 
 
 
จากนั้นก็แยกย้ายไปหาอาหารเย็น  เราสองคนเลือกที่จะเดินไปที่สะพานตรังเตรียนอีกครั้ง ไปแสงสียามค่ำคืน เพราะไฟที่สะพานจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ อีกอย่างที่นั่นมีร้านอาหารรูปดอกบัวหรูหรา ให้บริการด้วย พอเราเดินไปถึงก็เห็นมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตาแล้ว ส่วนร้านรวงนั้นไม่ต้องพูดถึง มีเยอะมาก คล้ายๆ กับตลาดนัดบ้านเราเลย เพราะขายกันทุกอย่าง มีคนวัยทำงาน วัยรุ่น เดินสวนกันไปสวนกันมาอย่างคึกครื้น เราทั้งคู่ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมคือกินอาหารพื้นเมือง เพราะรสชาติดี ราคามิตรภาพ สั่งก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ผักดองมาลองชิม รสชาติถูกใจ และหมดค่าข้าวไป 30,000 ด่ง (42บาท)
 

สะพานเปลี่ยนสี



ภัตตาคารรูปดอกบัว


 


บรรยากาศความคักครื้น




ขายผลไม้เสียบไม้ (เก๋ๆ)
 
อิ่มจากอาหารหลัก ก็หาของหวานล้างปาก เดินไปเจอร้านของหวานที่มีลูกค้าแน่นร้าน เราจึงเบียดกายแทรกเข้าไปด้วย มีของหวานให้เลือกเยอะมาก สั่งมาคล้ายๆ กับกล้วยบวชชีบ้านเรา รสชาติจะหวานแหลม และของเค้าจะทำน้ำหนืดๆ ตักใส่ก้นแก้ว แล้วเอาน้ำแข็งทับ เสิร์ฟมาแบบภาพที่เห็นเลยค่ะ จะกินยากหน่อย ราคา 10,000 ด่ง ( 15 บาท) และคนที่ไม่ชอบหวานนี้งดสั่งได้เลยค่ะ ผิดหวังจากขนมหวานเลยหาไอศกรีมรับประทานแทน ได้มาในราคาอันละ 16,000 ด่ง (23บาท)

 
                จากนั้นเราก็กลับไปเตรียมตัวเก็บข้าวของ และนอนพักเอาแรงเพื่อเดินทางกลับสะหวันนะเขตวันพรุ่งนี้  
สรุปค่าใช้จ่าย คืนที่ 5 วันที่ 5  ทัวร์นครเว้  รวมค่าใช้จ่ายของวันนี้นะคะ
                ค่าเข้าชม พระราชวังเมืองเว้                                  179          บาท        (125,000 ด่ง)
            กาแฟ น้ำ และขนม                                                143          บาท        (100,000 ด่ง)
ตั๋วรถกลับสะหวันนะเขต                                     540          บาท        (18 ดอลล่า)
ข้าวเย็น                                                                   42            บาท        (30,000 ด่ง)                        
ของหวาน                                                               15            บาท        (10,000 ด่ง)
ไอศกรีม                                                                 23            บาท        (16,000 ด่ง)
รวมค่าใช้จ่าย เป็นเงินคนละ                                 942          บาท