วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แบกเป้ิ สะพายกล้อง ส่องเวียดนาม ตอนที่ 4

ต่อจากภาคที่แล้ว

วันนี้วันเที่ยวชมเมืองอีกวันจ๊ะ

                เช้าวันนี้เตรียมตัวเที่ยวเมืองอารยธรรมเว้ รถชัตเตอร์บัสมารับเรา 08.30 น. ซึ่งในโปรแกรมที่เค้าให้เรามา มีหลายที่มาก เค้าเริ่มพาเราเที่ยวที่ พระราชวังเมืองเว้ ที่นี่เสียค่าเข้าชมคนละ 125,000 ด่ง (179 บาท) สถาปัตยกรรมแปลกตา แต่ก็สวยงามสมราคาค่าเข้าชม






 









 
               จากนั้นไกด์หนุ่มก็พาเราไปเยี่ยมชมบ้านจีนโบราณ เป็นบ้านที่ยังมีความสมบูรณ์เกือบ 100% ผู้ดูแลบ้านก็บรรยายไป เราก็เดินถ่ายรูปไป ที่บ้านจีนเค้าจะขายชาด้วย ใครสนใจก็เลือกชม เลือกซื้อได้



 
 
 
 



 
                เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเสียเวลา จึงไม่รอช้า พาไปต่อที่วัดเทียนมู่ เจดีย์เทียนมู่ ลักษณะของวัดจะคล้ายๆ กับวัดจีน (ในความรู้สึกเรา) ข้างในมีเจดีย์มีทรง 8 เหลี่ยม รูปเก๋งจีนซ้อนลดหลั่นกัน 7 ชั้น มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์เฝ้าคุ้มครอง ภายในเจดีย์มีพระสังกัจจายน์ปิดทองอยู่ด้วย
 





 
 





                    จากนั้นก็ไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งจำชื่อร้านไม่ได้ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ อย่างที่บอกข้างต้นว่าเค้าจัดเลี้ยงเป็น อเมริกันสไตล์ เราก็ดีใจมาก แต่พอไปถึงร้าน โอโห้ พาเหรดผักทั้งนั้น ไม่เห็นมีหมู มีไก่เลย เหลือบมองไปที่ข้าวผัด เฮ้อ มีวิญญาณหมูติดมานิดนึง สรุปไม่ประทับใจอาหารกลางวัน (เลยไม่ถ่ายรูปอาหาร เพราะเสียใจ)
               จากนั้นเราก็เที่ยวกันต่อที่ สุสานไคดิงห์ (มากันตั้งไกล ทำไม๊ ทำไมมาเที่ยวสุสานกันก็ไม่รู้) สุสานไคดิงห์ ไกด์บอกว่าเป็นสุสานของพระเจ้าไคดิงห์ เป็นสุสานที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกเข้ากับสถาปัตยกรรมตะวันตก แต่เรามองยังไงก็เหมือนสถาปัตยกรรมจีนยังไงก็ไม่รู้ ส่วน ทางเดินขึ้นสุสานตกแต่งเป็นบันไดมังกร เรียงรายด้วยรูปปั้นหินของช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือน ส่วนด้านบนสุดเป็นพระราชวังเทียนดิงห์  
 



 
                เสร็จสรรพก็ต่อกันที่สุสานจักรพรรดิมิงห์หมาง ที่นี่เป็นสุสานจักรพรรดิที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่มากที่สุด กว้างขวางร่มรื่น ภายในสุสานยังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย เรียกว่าเดินกันเมื่อยถึงขึ้นไม่ฟังไกด์พูดกันเลยทีเดียว หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเยี่ยมชมสุสานของจักรพรรดิต่างๆ แล้ว เราก็เหนื่อยและขี้เกียจเดิน พอไปถึงสุสานอีก 2 – 3 แห่ง เราจึงไม่เข้าไป นั่งรอข้างๆ รถบ้าง ร้านสะดวกซื้อบ้าง ไกด์ก็คะย้ันคะยอให้เข้าไป เราก็ส่ายหน้าอย่างเดียวเลย ถามว่าเสียดายไหม ก็เสียดายนะ แต่อารมณ์ร้อน และเหนื่อยเยอะกว่า เลือกที่จะไปซื้อกาแฟ น้ำ และขนมนั่งดื่มรอ ระหว่างรอหมดค่าน้ำไป 100,000 ด่ง (143 บาท)
                จุดหมายถัดไปหลังจากเยี่ยมชมสุสานจนครบแล้ว ไกด์ก็พาเราไปดูหมู่บ้านทำธูป ที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งทำธูปอันดับต้นๆ ของเวียดนามก็ว่าได้
 
 
 




 

 
หลังจากนั้นก็ปิดโปรแกรมด้วยการล่องเรือท่องแม่น้ำหอม หรือแม่น้ำซงเฮือง แม่น้ำสายนี้มีความแปลกเฉพาะตัวคือจะมีกลิ่นหอมอ่อน เพราะมีต้นกำเนิดของลำน้ำมากจากป่าที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอม เมื่อดอกไม้ใบไม้ได้ร่วงร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำและลอยมากับสายน้ำจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่น้ำหอมนั่นเอง แม่น้ำมีลักษณะกว้างแต่ไม่ลึกและใสสะอาด  เราเห็นมีเรือนักท่องเที่ยวแล่นผ่านเรือเราไปมาอยู่หลายสิบลำ ซึ่งแสดงว่าการนั่งเรือชมทิวทัศน์แม่น้ำหอมได้รับความนิยมอย่างมาก ผ่านไปราว 40 นาที ลอดใต้สะพานตรังเตรียนมา เรือก็มาจอดส่งนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่ง เป็นอันวันเสร็จสิ้นทริปของวันนี้
ไกด์ประจำทริป














 
 
                จากนั้นเราต้องหาทางกลับโรงแรมเอง ในบรรยากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าว แต่ไม่เป็นไร เดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง เพราะเรามาสำรวจเส้นทางไว้บ้างแล้ว เมื่อมาถึงโรงแรมนอนเอาแรงได้พักใหญ่ๆ ก็ลงมาซื้อตั๋วรถกลับสะหวันนะเขตกับทางโรงแรม มาเจอกับน้องคนไทย 2 คนที่เราเจอขามาพอดี น้องเค้าก็กำลังจะกลับเหมือนกัน จึงซื้อตั๋วพร้อมกันเลย ซึ่งโรงแรมก็กุลีกุจอหาตารางรถมาให้ พร้อมกับติดต่อให้ในราคา คนละ 18 ดอลล่า ซึ่งถือว่าแพงเอาการ แต่น้องบอกเราว่า ลองไปซื้อกับทัวร์ข้างนอกมาแล้ว ก็ราคาประมาณนี้ บางที่แพงกว่าด้วย เราจึงตกลงได้ในราคา 18 ดอลล่า (540 บาท แพงกว่าขามา 60 บาท)
 
 
 
 
จากนั้นก็แยกย้ายไปหาอาหารเย็น  เราสองคนเลือกที่จะเดินไปที่สะพานตรังเตรียนอีกครั้ง ไปแสงสียามค่ำคืน เพราะไฟที่สะพานจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ อีกอย่างที่นั่นมีร้านอาหารรูปดอกบัวหรูหรา ให้บริการด้วย พอเราเดินไปถึงก็เห็นมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตาแล้ว ส่วนร้านรวงนั้นไม่ต้องพูดถึง มีเยอะมาก คล้ายๆ กับตลาดนัดบ้านเราเลย เพราะขายกันทุกอย่าง มีคนวัยทำงาน วัยรุ่น เดินสวนกันไปสวนกันมาอย่างคึกครื้น เราทั้งคู่ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมคือกินอาหารพื้นเมือง เพราะรสชาติดี ราคามิตรภาพ สั่งก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ผักดองมาลองชิม รสชาติถูกใจ และหมดค่าข้าวไป 30,000 ด่ง (42บาท)
 

สะพานเปลี่ยนสี



ภัตตาคารรูปดอกบัว


 


บรรยากาศความคักครื้น




ขายผลไม้เสียบไม้ (เก๋ๆ)
 
อิ่มจากอาหารหลัก ก็หาของหวานล้างปาก เดินไปเจอร้านของหวานที่มีลูกค้าแน่นร้าน เราจึงเบียดกายแทรกเข้าไปด้วย มีของหวานให้เลือกเยอะมาก สั่งมาคล้ายๆ กับกล้วยบวชชีบ้านเรา รสชาติจะหวานแหลม และของเค้าจะทำน้ำหนืดๆ ตักใส่ก้นแก้ว แล้วเอาน้ำแข็งทับ เสิร์ฟมาแบบภาพที่เห็นเลยค่ะ จะกินยากหน่อย ราคา 10,000 ด่ง ( 15 บาท) และคนที่ไม่ชอบหวานนี้งดสั่งได้เลยค่ะ ผิดหวังจากขนมหวานเลยหาไอศกรีมรับประทานแทน ได้มาในราคาอันละ 16,000 ด่ง (23บาท)

 
                จากนั้นเราก็กลับไปเตรียมตัวเก็บข้าวของ และนอนพักเอาแรงเพื่อเดินทางกลับสะหวันนะเขตวันพรุ่งนี้  
สรุปค่าใช้จ่าย คืนที่ 5 วันที่ 5  ทัวร์นครเว้  รวมค่าใช้จ่ายของวันนี้นะคะ
                ค่าเข้าชม พระราชวังเมืองเว้                                  179          บาท        (125,000 ด่ง)
            กาแฟ น้ำ และขนม                                                143          บาท        (100,000 ด่ง)
ตั๋วรถกลับสะหวันนะเขต                                     540          บาท        (18 ดอลล่า)
ข้าวเย็น                                                                   42            บาท        (30,000 ด่ง)                        
ของหวาน                                                               15            บาท        (10,000 ด่ง)
ไอศกรีม                                                                 23            บาท        (16,000 ด่ง)
รวมค่าใช้จ่าย เป็นเงินคนละ                                 942          บาท
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น