วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รวมก๊วน ชวนกันแอ่วลา่ว Espisode 2


              รถพาเราไปถึงหลวงพระบาทตอนใกล้ๆ หกโมงเช้าค่ะ พอลงรถเสร็จ พวกเราก็พากันเดินค่ะ ย้ำนะคะว่าพากันเดินจริงๆ ถามคนที่สถานีมา เค้าบอกว่าไม่ไกลเดินได้ พวกเราก็เชื่อคนง่าย พากันหอบหิ้วกระเป๋าเดินกันไป เดินได้สักครึ่งชั่วโมงก็มองหน้ากันแล้วก็ขำ พลางบอกกับตัวเองว่า วันหน้าอย่าเชื่อคนง่ายแบบนั้นอีก เดินไปซื้อของกินไป กินกันไปตลอดทาง จนไม่สนใจอาหารเช้ากันแล้ว เดินเกือบชั่วโมงเราก็เห็นแล้ว ตัวเมืองหลวงพระบางอยู่ข้างหน้าเรา แต่!!!! ..... เรายังต้องเดินหาโรงแรมต่อ ช่วยกันเดินหาโรงแรมอยู่พักใหญ่ก็ไปเจอกับเจ้าของเกสเฮาส์ ที่พาแขกมาใส่บาตร เค้าบอกเราว่าแวะเข้าไปดูเกสเฮาส์เค้าก่อนก็ได้ อยู่ไม่ไกลถนนคนเดินตอนกลางคืนออกมาชมแสงสีได้ แบบไม่ต้องกลัวอะไร เมื่อพี่เค้ายื่นข้อเสนอมา พวกเรามองหน้ากันแล้วก็สนองกลับทันที พากันขึ้นรถพี่เค้าเพื่อกลับไปดูเกสเฮาส์ พอไปถึงเราเห็นแขกมาพักเต็มเลย เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด บรรยากาศของเกสเฮาส์ก็ดูเป็นกันเอง พี่เค้าพาไปดูห้องเป็นห้องรวม เป็นเตียงนอน 2 ชั้น มี 8 เตียงนอน 1 ห้องน้ำ เค้าเหมาให้เราห้องละ 500 บาท ก็ตกลงทันทีสิคะ นอนด้วยกัน 5 คน เพื่อนกันทั้งนั้นสบายเลย ลืมบอกไป เกสเฮาส์ชื่อ Spicy Laos backpacker
โรงแรมชื่อนี้นะคะ

ที่พักแรมของพวกเรา
                จากนั้นเราก็ไปบอกพี่เค้าว่า เราจะนอน 1 คืน จะไปจ่ายตังค์พี่เค้าบอกว่ายังไม่ต้องจ่าย วันกลับค่อยมาจ่าย แล้วก็ยกกุญแจห้องให้เรามาเลย พอเข้าห้องก็หลับกันคนละตื่น อาบน้ำแต่งตัว พากันออกไปลุยหลวงพระบาง เราได้รับคำแนะนำจากพี่เจ้าของเกสเฮาส์ว่า ให้เหมารถเหมือนรถสองแถวเที่ยว เหมาเป็นวันจะคุ้มมากเพราะรถจะพาเราเที่ยวที่เค้านิยมไปกันหลายแห่ง ทั้งน้ำตกกว่างซี ไปไหว้พระบนถ้ำติ่ง ตอนนั้นก็เพิ่งเก้าโมงไม่กี่นาที เราจึงตกลงที่จะเหมารถเที่ยวกัน เดินมาหารถสองแถวใกล้ๆ เกสเฮาส์ เจอรถอยู่ 2 3 คัน แต่ละคันจะคิดเหมาพวกเราวันเดียว 1,500 บอกว่าจะพาไป 3 – 4 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งอยู่ห่างกันไกล พวกเราขอลดราคา บอกว่าไปแค่ 2 – 3 แห่งก็ได้ เอาหลักๆ คือน้ำตก กับถ้ำติ่งก็ได้ เค้าขอคิด 1,200 ตอนนั้นพวกเราว่ามันแพงนะ เลยขอบคุณเค้า และเดินจากมา เหมือนพี่เค้าจะบ่นอะไรไม่รู้ตามหลังพวกเราด้วย
                เดินออกมาได้ไม่ไกลนัก เราได้ยินเสียงรถขับตามเรามาบีบแตรให้เราหยุด พวกเรามองกลับไป อ้าวน้องอีกคันที่อยู่กับคุณลุงคนเมื่อกี้ น้องเค้าบอกว่า เดี๋ยวผมพาไปเอง ผมคิด 1,200 แต่จะพาไปทุกที่ พวกเราขอต่อราคาอีกที บอกว่าไม่ต้องไปทุกที เอาที่ที่สวยๆ เป็นหน้าเป็นตาก็พอ ต่อเหลือ 1,000 ได้ไหม น้องเค้าคิดไปแป๊บนึง ก็ตอบตกลง เป็นอันว่าเราจะได้ไปเที่ยวรอบๆ หลวงพระบางกันแล้ว
Taxi คันนี้จะพาเราเที่ยวหลวงพระบาง 

                น้องโชเฟอร์สุดหล่อพาเราสตาร์ททันที โดยหันมาบอกว่าจะให้จอดซื้อของตรงไหนก็บอกนะครับ โอ้ว...พ่อคุณเอ๊ย ช่างดีจริงๆ ขับรถมาไกลมาก เกือบๆ 2 ชั่วโมงก็มาถึงน้ำตก กว่างซี (KUANG SI) โชเฟอร์จอดรถและชี้ทางให้เราเดินก่อนเข้าไป เราต้องจ่ายค่าเข้าชมก่อนคนละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท จากนั้นเดินเข้าไปไม่ไกลจะเห็นลำธารเล็กๆ สะพานเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในป่าใหญ่ เดินไปอีกนิดถึงกับตะลึง เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ลักษณะเป็นหินปูน น้ำสีฟ้าอมเขียว คล้ายๆ กับสระมรกตบ้านเรา มีจุดให้ลงเล่นน้ำได้หลายจุด เราเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ใส่บิกินี่เล่นน้ำกันอยู่หลายจุด แหม!!! ช่างเจริญหู เจริญตา เจริญใจดีจริงๆ ....












ความงามของน้ำตกกว่างซี


                ชื่นชมกับน้ำตกอันสวยงามของหลวงพระบางได้พักใหญ่ ก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อ โชเฟอร์สุดหล่อบอกว่า เดี๋ยวจะพาไปถ้ำติ่ง ไม่รอช้าก็ขับพาเราออกมาทันที ตอนรถเคลื่อนพาพวกเราออกไปได้ไม่ไกลนักหนึ่งในพวกเราก็ตะโกนถามน้องโซเฟอร์ว่า อีกไกลไหม เสียงที่ตอบกลับมาพาให้อ่อนใจ อีกราวๆ 2 ชั่วโมงครับ หา!!!!!! 2 ชั่วโมง โอ้วแม่เจ้า.... ทำไมไกลแท้.... แต่ก็ไปนะ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนั้นคือชื่นชมทัศนียภาพ 2 ข้างทางท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ รถพาเราขับผ่านมหาวิทยาลัยหลวงพระบางด้วย เห็นนักศึกษาขี่มอเตอร์ไซด์ทยอยเข้ามหาวิทยาลัยจำนวนมาก นึกในใจ นี่ถ้าพวกเราแฝงตัวเข้าไปคงกลมกลืนน่าดู .... (5555) จากนั้นก็มาถึงหมู่บ้านปากอู เป็นบริเวณที่ต้องลงรถเพื่อต่อเรือข้ามไปยังถ้ำซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำโขง เสียค่าข้ามเรือคนละ 5,000 กีบ (20บาท) เมื่อเรือเทียบท่าแล้ว สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือบันไดสูงชันเพื่อเดินขึ้นไปชมความงามภายในถ้ำ ในใจก็คิดว่าจะไหวไหม แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ไม่ขึ้นไปจะเสียดายทีหลัง จัดแจงลงเรือกัน ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมถ้ำคนละ 10,000 กีบ (40บาท) (ต้องทำใจนะคะ เราต้องเสียค่าเข้าชมสถานที่ทุกแห่งในหลวงพระบางค่ะ) เมื่อจ่ายเงินกันเสร็จก็เดินขึ้นไปสำรวจถ้ำทันที


พาหนะในการข้ามฟากไปถ้ำติ่ง




 

              สิ่งที่เราขึ้นไปเห็นคือ ถ้ำติ่งจะมี 2 ถ้ำ โดยแบ่งเป็นถ้ำติ่งลุ่ม (ล่าง) เราจะเดินขึ้นไปถึงก่อน ในนั้นจะมีพระที่ทำจากไม้จำนวนมากประดิษฐานอยู่เต็มถ้ำเลยค่ะ ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นปางยืน และมีหินงอก หินย้อยให้เราเห็นเล็กน้อย เดินขึ้นไปอีกนิดจะพบทางแยกซ้ายแล้วเดินขึ้นบันไดไป 218 ขั้น ข้างๆ ทางก็จะเป็นพรรณไม้นานาชนิด ร่มรื่นมากค่ะ แต่กว่าจะขึ้นถึงก็หอบแทบขึ้น พอไปถึงแล้วก็เจอกับถ้ำติ่งบนทันที บริเวณหน้าถ้ำจะมีประตูเหล็กด้วยค่ะ สงสัยเอาไว้ปิด – เปิด ตอนเย็น หรือหมดเวลาทำการ เพื่อกันสิ่งมีค่าหาย นอกจากนี้ยังมีโต๊ะที่เอาไว้บริการไฟฉายให้เข้าไปส่องดูในถ้ำด้วย ภายในถ้ำติ่งบนก็มีพระประดิษฐานอยู่เช่นเดียวกัน แต่ไม่มากเท่าถ้ำติ่งล่าง จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ พากันเดินลงมา และรอเรือข้ามฟากเพื่อกลับมาขึ้นรถเข้าเมือง เมื่อมาถึงฝั่งเดินขึ้นมาบนหมู่บ้าน เราก็จะเห็นว่ามีร้านขายของฝากหลายร้านให้เลือกชม มีทั้งเครื่องเงิน (เงินลาว) ผ้าพันคอ ผ้าถุง และอีกมากมาย ใครสนใจอะไรก็จัดการซื้อตรงนั้นได้เลยค่ะ
 


เพิ่มคำอธิบายภาพ
ทางขึ้นลงถ้ำติ่ง เสียวสุดใจ

ถ้ำติ่งลุ่ม





ปากทางเข้าถ้ำติ่งบน มีไฟฉายบริการหน้าถ้ำ
                จากนั้นเราก็เดินกลับมาหาโชเฟอร์หนุ่มของเรา ทีแรกน้องเค้าบอกว่า จะพาเราไปอีกหนึ่งแห่ง พวกเราถามว่าไกลไหม น้องตอบว่าก็ไกลนะ พวกเรามองหน้ากันแล้วตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร เอาแค่นี้ก็พอใจแล้ว ให้กลับไปส่งเราที่พักเลยพอขึ้นรถ เราก็คุยกันว่า จริงๆที่พวกเราต่อเค้าเหลือ 1,000 บาท (หารกันแล้วเป็นเงินคนละ 200 บาท)  เค้าจะคุ้มไหม!!! เพราะสถานที่ที่พาไปแต่ละแห่งไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ก็ประทับใจในบริการมากค่ะ นั่งคุยกันบ้าง หลับกันไปบ้างระหว่างทางกลับที่พัก จนไม่รู้กันเลยว่าพวกเรามาถึงที่พักแล้ว น้องเค้าเดินมาสะกิดว่าถึงแล้วครับ พากันลงรถและจ่ายเงินให้น้องเค้าไป ตอนที่เรากลับมาถึงห้องก็ 5 โมงกว่าๆ แล้ว โอ้โห!!!! ลองนับเวลากันดู ถ้านับจาก 10 โมง ถึง 5 โมงเย็น กินเวลา 7 ชั่วโมง เล่นเอาหมดเลยทีเดียวค่ะ เพราะใช้พลังงานกันค่อนข้างเยอะ จากนั้นพวกเรานั่งวางแผนกันต่อว่าจะไปทางไหนกันต่อดี จึงตกลงกันว่าเดินออกไปชมตลาดมืด และหาอะไรกินกันเลย ตอนนั้นมีฝนรินลงมาเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะเราเอาเสื้อกันฝนมากันทุกคน ใส่เสื้อกันฝนเสร็จก็ออกไปเดินเล่นกันทันที เดินได้แป๊บเดียวฝนก็หยุดค่ะ เหมือนเป็นใจให้เราได้เที่ยวอย่างสบายๆ
 










สินค้าในตลาดมืด กลางใจเมืองหลวงพระบาง


เราเดินเที่ยวตลาดมืดกันอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่ลักษณะคล้ายๆ ตลาดนัด หรือถนนคนเดินเชียงใหม่บ้านเราค่ะ มีอาหารพื้นเมือง มีของพื้นเมือง และสินค้าอื่นๆ จำหน่ายมากมาย พอแสงเริ่มสลัวๆ ก็เห็นนักท่องเที่ยวทยอยเดินออกมาเที่ยวกันมากมาย ใครชอบร้านไหนก็แวะร้านไหน ที่นี่สามารถหาซื้อของฝากได้เลยนะคะ มีของแปลกๆ เยอะพอสมควรค่ะ เราทั้งเดินเที่ยว ทั้งจัดการกับมื้อเย็น และซื้อของฝาก และใช้ wifi  ฟรี ที่เราบังเอิญค้นพบบริเวณที่นั่งเล่น ใกล้ๆ กับตลาดมืด เสร็จสรรพไปในตัว
จากนั้นก็กลับมาที่เกสเฮาส์เพื่อพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกไปใส่บาตรตอนเช้า ซึ่งถือเป็นซิกเนเจอร์ของหลวงพระบางก็ว่าได้ โดยที่เจ้าของเกสเฮาส์จะเป็นผู้พาเราไป
เช้าวันที่ 2 ณ หลวงพระบาง พวกเราตื่นมากันราวๆ ตี 5 (ต้องตื่นนะ เพราะถ้าสายๆ พระจะกลับวัดหมด) เพื่อขึ้นรถไปรอใส่บาตร พี่เค้าเอารถมาจอดรอไว้อยู่แล้ว พวกเราก็รีบขึ้นรถไป โดยที่มีแขกของเกสเฮาส์อีก 2 ร่วมคณะไปด้วย พี่เค้าพาเราไปรอพระอยู่ใกล้ๆ ตลาดเช้า โดยจะมีแม่ค้ามารอขายของใส่บาตรให้เรา ราคาก็ไม่แพงนะคะตะกร้าละ 100 บาท  มีข้าวเหนียว 1 กระติบ ขนม และน้ำค่ะ พออิ่มบุญกันแล้ว เราขอพี่เจ้าของเกสเฮาส์ให้ไปส่งเราซื้อตั๋วรถกลับเวียงจันทร์ พี่เค้าใจดีพาเราไปค่ะ โดยที่ยังมีนักท่องเที่ยว 2 คนติดสอยห้อยตามเราไปด้วย พอไปถึงเราก็จัดการจองตั๋วทันที รอบนี้กลับเวลาเดิมค่ะ 20.00 น. เป็นรถนอนเหมือนเดิม แต่เป็นรถที่มี 3 แถว แต่ละแถวมี 2 ชั้น หมายถึงว่า นอนกันคนละเตียงเลยค่ะ จัดการจองตั๋วเสร็จก็กลับไปอาบน้ำเพื่อตะลุยหลวงพระบางให้ครบ




 

พวกเราเริ่มต้นกันที่ตลาดเช้า ที่นี่มีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันมากมาย จากนั้นเราก็เดินไปตามลายแทงที่พวกเราทำมากันเอง เพื่อจะไปร้านกาแฟยอดนิยม “ประชานิยม” เป็นร้านกาแฟที่ใครๆ ก็ต้องไป รวมถึงพวกเราด้วย ไปชิมกาแฟลาวอันกลมกล่อม








 
เมื่อเพิ่มความสดชื่นด้วยกาแฟแล้ว เราก็เดินลัดเลาะเที่ยวชมเมืองกันต่อ เริ่มกันที่โรงละคร ที่นี่เราส่งหน่วยหน้าเข้าไปชม เพราะจะได้เสียค่าชมแค่คนเดียว จ่ายค่าเข้าชม 30,000 กีบ (120 บาท) และไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ
 
 
 
จากนั้นเราก็เดินชมวัดกันอีกหลายจน เดินไปจนคิดว่าเราควรจะเช่าจักรยานปั่นชมเมือง จึงตกลงจะไปเช่าจักรยาน จากนั้นก็ปั่นลัดเลาะริมโขง เข้าซอยนั้น ออกซอยนี้กันอย่างสนุกสนาน ชมวิถีชีวิต วัฒนธรรมเค้าไปเรื่อยๆ จนเห็นควรว่าควรจะไปวัดพูสี จึงพากันปั่นไปวัดพูสี ขึ้นไปชมทัศนียภาพบนที่สูง ทีแรกจะชมพระอาทิตย์ตก แต่คงไม่ทัน เพราะเราต้องเดินทางต่อตอนสองทุ่ม การขึ้นไปบนวัดพูสีก็ต้องใช้พละกำลังเหมือนกับการขึ้นไปถ้ำติ่ง อารมณ์เดียวกันเลยค่ะ จากนั้นเราก็ลงมาเพื่อไปหาอาหารเย็นรับประทาน เข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างๆ ร้านเบเกอรี่ชื่อดัง (เราจำชื่อร้านไม่ได้) จะมีอาหารแบบบุฟเฟต์ขาย ให้เราเลือกตักอะไรก็ได้ในราคา 10,000 กีบ 40 บาท มีอาหารค่อนข้างหลากหลาย ต้ม ผัด แกง ทอด รสชาติกลางๆ เพราะทำขายฝรั่งด้วย จะเน้นผักเสียเป็นส่วนใหญ่

 


























ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์ 40 บาท


เมื่อท้องอิ่มเราก็กลับไปเอากระเป๋าที่เกสเฮาส์ เพื่อไปขึ้นรถกลับหลวงพระบาง พร้อมกับจัดการล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมตัวขึ้นรถ 20.00 น.ตรง รถพาเราออกจากหลวงพระบาง มุ่งตรงสู่เวียงจันทร์ ขากลับไปเวียงจันทร์ เราได้รถแบบคนละเตียง นอนเรียงรายกัน 5 คน สนุกจัง
 


 
 
กลับมาถึงเวียงจันทร์ราวๆ 07.00 น. (ทำไมช้ากว่าขาไป) เราก็หารถตุ๊ก ตุ๊ก เพื่อออกมาจากขนส่งสายเหนือ จะไปสายใต้ เพื่อกลับอุดร รถพาเราออกจากหลวงพระบาง แวะตรวจพาสปอร์ตที่สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย) ด่านนี้เสียอีก 40 บาทนะคะ และกลับมาส่งเราที่สถานีขนส่งผู้โดยสารอุดรธานีตอน 10 โมงเช้า
จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของแต่ละคน อีก 3 คนกลับเชียงใหม่ ส่วนเรา 2 คน ก็เดินทางกลับไปทำธุระที่มุกดาหารต่อให้เสร็จ .... เป็นอันจบทริปเวียงจันทร์ – หลวงพระบาง ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น การช่วยเหลือดูแลกันของเพื่อน......
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น